โลกหลังความตาย (ตอนที่ 3)

ความตายไม่ได้มีความน่ากลัวใดๆสำหรับคนที่เข้าใจอย่างแท้จริง ปัญหาของมนุษย์มีอยู่ว่า ทำไมมนุษย์กลัวความตาย ซึ่งมีหลายๆสาเหตุ และหลายๆปัจจัย หนึ่งในเหตุผลก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจเป้าหมายในการสร้างมนุษย์ เรามิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่บนโลกนี้อย่างจีรัง

 

ไฉนมนุษย์กลัวความตาย

 

ความตายไม่ได้มีความน่ากลัวใดๆสำหรับคนที่เข้าใจอย่างแท้จริง ปัญหาของมนุษย์มีอยู่ว่า ทำไมมนุษย์กลัวความตาย  ซึ่งมีหลายๆสาเหตุ และหลายๆปัจจัย หนึ่งในเหตุผลก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจเป้าหมายในการสร้างมนุษย์  เรามิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่บนโลกนี้อย่างจีรัง แต่ต้องกลับสู่อีกชีวิตหนึ่งที่นิรันดร์ และเป็นชีวิตที่อมตะ

 

หลังจากอาลัมบัรซัค มนุษย์จะไม่มีความตายอีกแล้ว มนุษย์จะเข้าสู่โลกแห่งนิรันดร์อย่างสมบูรณ์ โดยมีความแตกต่างที่ว่า ในความเป็นนิรันดร์ของมนุษย์นั้น จะมีสองนิรันดร์ คือความสุขที่เป็นนิรันดร์ กับความทุกข์ที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งอัลกุรอานก็ได้ตรัสในเรื่องนี้ว่า

 

وَمَنْ يُؤْمِنْ بِاللَّهِ وَيَعْمَلْ صَالِحًا يُكَفِّرْ عَنْهُ سَيِّئَاتِهِ وَيُدْخِلْهُ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِنْ تَحْتِهَا الأنْهَارُ خَالِدِينَ فِيهَا أَبَدًا ذَلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ (٩) وَالَّذِينَ كَفَرُوا وَكَذَّبُوا بِآيَاتِنَا أُولَئِكَ أَصْحَابُ النَّارِ خَالِدِينَ فِيهَا وَبِئْسَ الْمَصِيرُ (١٠)

 

“และส่วนผู้ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และกระทำความดี พระองค์จะทรงลบล้างความชั่วทั้งหลายของเขาออกไปจากเขา และจะทรงให้เขาเข้าสวนสวรรค์หลากหลาย ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์นั้นมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านพวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดการ นั่นคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และปฏิเสธต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเขา ชนเหล่านั้นคือชาวนรก พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นและมันเป็นทางกลับที่ชั่วช้ายิ่ง” (ซูเราะห์ อัตตะฆอบูน โองการที่ 9-10)

 

“ญันนาติล คอลีดียน นาฟีฮา” คือ สวรรค์ ที่เขาจะพำนักอยู่ในนั้นชั่วนิจนิรันดร หรือ “ญาฮันนามัล คอลีดียนาฟีฮา” หรือนรกที่เขาจะได้อยู่อย่างนิจนิรันดร

 

กล่าวคือ มนุษย์จะไม่ตายทั้งในนรกและในสวรรค์  กุรอานยืนยันชัดเจนว่าหลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครตาย  มนุษย์จะมีชีวิตที่นิรันดร แต่ปัญหาว่า จะนิจนิรันดรในนรกหรือนิรันดร์ในสวรรค์เท่านั้นแหละ

 

ในบางฮะดิษและในบางริวายะฮ์  จะมีการเปรียบเทียบความตายในลักษณะต่างๆ โดยฮะดิษ บทหนึ่งได้กล่าวว่า       “ความตายเปรียบเสมือนสะพาน ที่จะข้ามจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง”

 

ซึ่งมันเป็นทางข้าม  แต่สำหรับบางคนข้ามไปเพื่อจะเข้าสู่สวรรค์  และบางคนข้ามไปเพื่อจะไปสู่นรก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะต้องผ่านความตายเท่านั้น!    ดังนั้นมันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มนุษย์กลัวความตายเพราะมนุษย์ส่วนมากรู้ตัวเอง  คนที่กลัวตายจริงๆแล้วรู้ตัวเอง  ตรงนี้หากผมชี้ไปยังคนหนึ่งว่า คุณได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน นางฟ้ารออยู่  ธารน้ำนมรออยู่  ธารน้ำผึ้งรออยู่  ถามว่ามีใครไหมที่ไม่ไป?   หากบอกว่า คุณตายวันนี้ และสวรรค์กำลังรอคุณอยู่ มีนางฟ้ากำลังรอคุณอยู่  มีอาหารการกินที่เอร็ดอร่อย มีความสุขสบายอย่างมากมายรอคุณอยู่ เช่นในอัลกุรอานกล่าวว่า

 

عَلَى سُرُرٍ مَوْضُونَةٍ (١٥)مُتَّكِئِينَ عَلَيْهَا مُتَقَابِلِينَ (١٦)يَطُوفُ عَلَيْهِمْ وِلْدَانٌ مُخَلَّدُونَ (١٧)بِأَكْوَابٍ وَأَبَارِيقَ وَكَأْسٍ مِنْ مَعِينٍ (١٨)لا يُصَدَّعُونَ عَنْهَا وَلا يُنْزِفُونَ (١٩)وَفَاكِهَةٍ مِمَّا يَتَخَيَّرُونَ (٢٠)وَلَحْمِ طَيْرٍ مِمَّا يَشْتَهُونَ (٢١)وَحُورٌ عِينٌ (٢٢)كَأَمْثَالِ اللُّؤْلُؤِ الْمَكْنُونِ (٢٣)جَزَاءً بِمَا كَانُوا يَعْمَلُونَ (٢٤)لا يَسْمَعُونَ فِيهَا لَغْوًا وَلا تَأْثِيمًا (٢٥)إِلا قِيلا سَلامًا سَلامًا (٢٦)

 

“ในสวนสวรรค์หลากหลายแห่งความสุขสำราญ โดยอยู่บนเตียงที่ประดับด้วยทองคำ พวกเขานอนเอกเขนกอยู่บนนั้น โดยผินหน้าเข้าหากัน มีเด็ก ๆ ที่มีอายุเช่นนั้น วนเวียนรับใช้พวกเขาตลอดไป ถ้วยภาชนะใหญ่ และแก้วที่มีหู และจอกใส่สุราที่ไหลรินมา พวกเขาจะไม่มึนศีรษะ และไม่หมดสติ เมื่อดื่มสุรานั้น และผลไม้หลากชนิด ตามแต่พวกเขาจะเลือกกิน และเนื้อนกที่พวกเขาอยากรับประทาน และหญิงสาวที่มีนัยน์ตาคมสวยงาม ประหนึ่งไข่มุกที่ถูกพิทักษ์รักษาไว้อย่างดี ทั้งนี้เป็นการตอบแทนเนื่องจากความดีที่พวกเขากระทำไว้ ในสวนสวรรค์นั้นพวกเขาจะไม่ได้ยินคำพูดที่ไร้สาระ และเป็นบาป  เว้นแต่คำกล่าวที่ว่า ศานติ ศานติ” (ซูเราะห์ อัลวากีอะห์ โองการ ที่ 15-26 )

 

ถามว่า  ใครบ้างไม่อยากตาย ?  แน่นอนมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ไม่ยอมตายพี่น้อง !!!! สิ่งที่เรากลัวตายนั้น เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อตายไปแล้วเราจะไปไหน?  ตายแล้วเมื่อถึงทางแยก จะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา?   นี้แหละคือปัญหาหลักของเรา  เหตุผลเพราะมันเสี่ยง  หนทางมันเสี่ยง    ดังนั้นจริงๆแล้วมนุษย์ไม่ได้กลัวความตาย  แต่มนุษย์กลัวผลที่จะติดตามมาหลังจากความตายต่างหาก   ซึ่งในบางฮะดิษได้กล่าวว่า  “มันเหมือนกับสะพาน”   แต่ถ้า สมมุติว่า เรารู้ว่าสะพานนี้จะเดินไปสู่นรก ไม่มีใครกล้าเหยียบไปบนสะพานนั้นอย่างเด็ดขาด แต่ถ้ารู้ว่าเมื่อเหยียบบนสะพานนี้แล้วจะนำพาเขาเข้าสู่สวรรค์ มีใครหรือที่จะไม่วิ่งเข้าหาสะพานนี้ ดังนั้นจริงๆแล้วสิ่งที่มนุษย์กลัว คือกลัวในชะตากรรมของตัวเอง  กลัวในสิ่งที่เขาได้ทำเอาไว้ ไม่มั่นใจในวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของเขา และจริงๆมันก็เป็นเช่นนั้น

 

บอกแล้วว่าอัลลอฮฺ(ซบ) มิได้สร้างมนุษย์อย่างไร้สาระ แต่ มีฮิซาบ มีกิตาบ (มีการคิดบญชี และมีการจดบันทึก) ทุกๆคำพูด ทุกๆการกระทำ ทุกๆการปฏิบัติ หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติ ทุกเสื้อผ้าที่เขาเลือกใส่ ทุกสิ่งที่เขากระทำโดยในอัลกุรอานได้กล่าวว่า

 

فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًا يَرَهُ (٧)  وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ (٨)

 

“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน   และส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน”  (ซูเราะห์ อัซ-ซัลซะละฮฺ   โองการที่ 7-8)

 

กล่าวคือ  ใครก็ตามที่กระทำความดีแม้แต่อณูเดียว ก็จะได้เห็นกัน (จะต้องเจอแน่)  และความชั่วแม้แต่ อณูเดียวก็จะได้เห็น ก็จะได้เจอเช่นกัน

 

คำว่า “ซัรรอ” ในภาษาอาหรับ บ่งชี้ถึงสิ่งที่เล็กที่สุดที่มนุษย์มองไม่เห็น ตรงนี้ที่ความตายมันน่ากลัว คือ บางครั้งความจริงความดี ความชั่ว แม้แต่สิ่งที่เราคิด ซึ่งถ้าเรามองอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วมันคือความผิดที่เราทำไปโดยไม่รู้สึกตัว และอัลลอฮฺทรงกล่าวว่า ย่อมเจอกัน บทลงโทษหรือไม่มีบทลงโทษนั้นพระองค์ไม่ได้กล่าว แต่กล่าวว่าอย่าหลอกข้า แล้วจะได้เห็นกันการสอบสวนที่หนักหน่วงและยิ่งใหญ่ในวันกียามัตมันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

สำหรับบางคนที่โชคดีไม่ต้องรอถึงวันกียามัต    ในอาลัมบัรซัคนี้แหละ  เมื่อเข้าหลุมศพ พอหลุมถูกปิดปับ  พอคนสุดท้ายออกจากกูโบร์ บัญชีของเขาก็จะถูกเปิดในทันที

 

ในฮะดิษ หรือริวายะฮฺ ได้กล่าวว่า สำหรับบางคนนั้นไม่ต้องรอให้ถึงอาลัมบัรซัค เมื่ออาญัลมาถึงมาลิกุลเมาต์มายืนตรงหน้า นั้นก็คือการลงโทษแล้ว พี่น้อง ! มีริวายัตกล่าวว่า การเอาชีวิตของมนุษย์บางคนนั้นเหมือนกับการเอากรรไกรมาตัดเนื้อออกทีละชิ้นๆ ให้เป็นชิ้นเล็กๆ

 

กล่าวคือถ้าตัดให้มันขาด ตัดคอให้ขาด ตัดขาให้ขาดมันก็ดูสบายไป  แต่การที่เอากรรไกรมาเล็มเนื้อของมนุษย์ ค่อยๆเล็ม  ค่อยๆเล็มนั้นคือเป็นการปลิดวิญญาณของคนบางคนเท่านั้น   ลองคิดดูซิ ถ้ามาลิกุลเมาต์ (ทูตผู้ปลิดวิญญาณ)     มาถึง ก็ฟันคอให้ขาดทันที เราว่าน่าจะจบและสบายกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ การเอาชีวิตของ         มาลิกุลเมาต์ สำหรับคนบางนั้นคือเหมือนกับเฉือนเนื้อไก่ให้เป็นชิ้นเล็กๆทีละนิดๆ ลองคิดดูว่ามันจะเจ็บปวดสักขนาดไหน แต่การเอาชีวิตสำหรับคนบางคนก็มี ริวายะฮฺ ที่แตกต่างกัน ซึ่งจริงๆแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การอุปมาอุปไมที่ศาสนาต้องการอธิบายว่า คนส่วนหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งจากโลกไปอย่างสุขสบายโดยไม่รู้ตัว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์ทรมาน ฮะดิษบอกว่าเหมือนกับเอาดอกไม้มายืนมอบให้ โดยที่เขายังไม่รู้สึกตัวว่าอะไรเป็นอะไร กำลังเบลอๆอยู่ เขาเรียกว่า”ซัก การอตุ้ลเมาต์”มนุษย์จะมีช่วงหนึ่งที่วิญญาณมนุษย์จะมีความเบลอ ๆ แต่ไม่เมาแต่ทว่าก็มีความเบลอ ซึ่งระหว่างนั้นเขาจะเห็นคนหนึ่งเอาดอกไม้มาให้เขา ให้เขาได้ดมดอกไม้อันหอมหวนและเมื่อเขาสูดดมดอกไม้นั้นแล้ววิญญาณของเขาก็ค่อยๆออกจากร่าง และมารู้สึกอีกครั้งหนึ่ง ก็ต่อเมื่อได้อยู่อีกสถานที่หนึ่งแล้ว           พร้อมอุทานว่า โอ้ตายแล้วหรือ? ตกใจ  แต่สำหรับบางคนไม่ต้องรออาลัมบัรซัค  บัญชีจะถูกคิดตรงนี้เลย บัญชี     ถูกคิด นั้นหมายความว่าโดนตั้งแต่โลกนี้เลย  โดนตั้งแต่วันที่ลากให้ลงในหลุมศพ

 

ท่านนบีบอกว่า อาลัมบัรซัคนั้นครึ่งหนึ่งของมันคือนรกและอีกครึ่งหนึ่งของมันคือสวรรค์ กล่าวคือจะถูกลงโทษทุกอย่าง  ทุกเรื่อง ถ้าไม่นมาซก็จะถูกทุบตี ทุกครั้งที่ถึงเวลานมาซ สมมุติเราเป็นคนไม่นมาซศุบฮฺ พอถึงเวลาศุบฮฺ  มาลาอิกัตก็จะเข้ามาตีช่วงเวลาศุบฮฺ จนหมดเวลานมาซศุบฮฺ ก็อาจจะให้เราพักบ้าง  การลงโทษนั้นมันมีมากมายหลายรูปแบบซึ่งไม่สามารถจะสรุปได้   เมื่อคนที่ไม่ทำนมาซซุฮรีย์ อัศรีย์ ก็ถึงเวลาอะซานซุฮรีย์ อัศรีย์ ตอนที่กำลังนอนอยู่ในหลุมฝังศพ รอวันกียามัต รอวันตัดสินครั้งใหญ่นั้น  มาลาอิกัตก็จะมาทุบตีเขา  ทุบแบบไหน?  ตีแบบไหน?  แทงแบบไหน? เลือดออกมามากมายขนาดไหน?   คนที่ไม่นมาซมัฆริบอีชาอฺ เมื่อถึงเวลาอะซานมัฆริบดังขึ้น มาลาอิกัตก็จะเข้ามาตีเขาตั้งแต่นมาซมัฆริบจนหมดเวลาอิชาอฺ นี้เป็นเพียงแค่การคิดบัญชีในเรื่องนมาซเท่านั้น อย่าคิดว่าพอหมดเวลานมาซแล้ว ก็หมดเวลาการถูกลงโทษ  ซึ่งมันไม่ใช่อย่างที่คิด  พอเรื่องนมาซจบ  พอผ่านไปสักพัก  มาลาอิกัตชุดอื่นก็มาอีก  บัญชีอื่นๆของเราก็จะถูกคิดตามมาที่ละเรื่องๆ  บัญชีไม่ถือบวช(ศิลอด) บัญชีไม่คลุมฮิญาบ และอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง

 

มีอุลามาอฺท่านหนึ่งในระดับสูงบอกว่า   “ถ้าให้ฉันพูดถึงวันกียามัต แล้ว แน่นอน มนุษย์นั้นจะไม่ต้องทำอะไรเลย จะอยู่แต่บนเสื่อนมาซอย่างเดียว  ฉันก็เลยไม่อยากพูดในประเด็นนี้ เดียวฉันอาจจะอดข้าวร่วมไปด้วย” อุลามาอฺท่านหนึ่งบอกว่าถ้าจะให้พูดถึงวันกียามัต  มนุษย์จะไม่กล้าทำอะไรอีกเลย เพราะอัลลอฮฺ(ซบ) ทรงเอาจริง เพราะอัลลอฮฺ(ซบ)เอาจริงกับเรื่องเหล่านี้  ถึงขั้น(มาฟิซซุดูด)หากมนุษย์ยังมิได้กระทำ แม้เพียงการคิดเท่านั้น ก็จะต้องถูกคิดบัญชี  ไม่ได้บอกว่าจะถูกลงโทษ   แต่บอกว่าจะต้องถูกคิดบัญชี เพราะฮิซาบและ กิตาบของมนุษย์รุนแรง หนักหน่วง และการลงโทษนั้นเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

 

พี่น้อง!!!!!เรากำลังสรุปและจะเข้าเนื้อหาว่ามันรุนแรง  มันเจ็บปวดมากขนาดไหน แต่ความเมตตาของพระองค์นั้นทรงยิ่งใหญ่เหลือล้น โดยให้โอกาสกับมนุษย์ทุกๆคน  มี “บาบุ้ลเตาบะฮ์” ประตูการขออภัยโทษ ซึ่งการเตาบะฮ์บางครั้งของมนุษย์นั้นจะมีความแตกต่างกัน บางคนได้ทำชั่วมาสามสิบกว่าปี หลังจากครบสามสิบปีเกิดความสำนึกขึ้นมา             (อัซตัฆ ฟิรุลลอฮฺ ฮะร็อบบี วะอะตูบูอิลัย) เราพลาดมาเป็นเวลาสามสิบปีแล้ว

 

โอ้พระองค์  เราจะไม่ขอกลับไปทำสิ่งเหล่านี้อีก  ยาอัลลอฮฺ   โปรดอภัยให้กับเราด้วยเถิด  สามสิบปีนั้นเป็นศูนย์ ถ้าไม่กลับไปทำความผิดอีกพี่น้อง!   นี่คือความเมตตาอันหนึ่งของอัลลอฮฺ(ซบ)

 

 

 ติดตามอ่านต่อ  โลกหลังความตาย (ตอนที่4)

 

ที่มา - www.syedsulaiman.com

 

 

แสดงความเห็น