การเข้ารับอิสลามของชาวคริสต์เพิ่มมากขึ่น

กระแสคลื่นของการเข้ารับศาสนาอิสลามในตะวันตก ดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่อรสนิยมของผู้คนทั้งหลายเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่สำนักงานสถิติประชากรแห่งชาติของอังกฤษได้ประกาศว่า ในปี ค.ศ. 2012 ชื่อ "มุฮัมมัด" ถูกเลือกจากครอบครัวต่างๆ ของชาวอังกฤษ

 

แนวโน้มการเข้ารับอิสลามของชาวคริสต์เร็วเหมือนจรวด!

 

ความหลากหลายของประชาคม อารยธรรมและวัฒนธรรมของโลกในปัจจุบัน ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า อนาคตของประชาคมแห่งมนุษยชาติจะเป็นไปอย่างไร? วัฒนธรรมและอารยธรรมต่างๆ จะดำเนินไปในสภาพที่เป็นอยู่นี้ตลอดไปหรือไม่? หรือว่าการย่างก้าวและการขับเคลื่อนของมนุษยชาติกำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางของอารยธรรมและวัฒนธรรมเพียงหนึ่งเดียว และในอนาคต อารยธรรมและวัฒนธรรมทั้งหมดเหล่านี้ จะสูญเสียสีสันอันเป็นเฉพาะของตัวเองแล้วหลอมรวมเป็นสีเดียวเท่านั้น?

หลายร้อยปีนับจากการเริ่มต้นของยุค “ฆ็อยบะฮ์ กุบรอ” (การเร้นกายครั้งยาวนานของท่านอิมามมะฮ์ดี) ได้ผ่านพ้นไป และขณะนี้อยู่ในยุคสมัยที่มืดมนที่สุดของการปฏิเสธศรัทธา (กุฟร์) การปกคลุมของยามราตรีที่มืดมนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว เหลือเวลาอีกไม่เกินอึดใจเดียวที่การขึ้นของแสงอรุณแห่งประวัติศาสตร์ยุคใหม่จะมาถึง มนุษย์จะได้พบกับการมาของผู้ประกาศสาส์น (อิมามมะฮ์ดี) อีกครั้งหนึ่ง และจะได้สัมผัสกับยุคแห่งการปรากฏกายของท่าน

ประชาคม อารยธรรมและวัฒนธรรมทั้งหลายกำลังย่างก้าวไปสู่ทิศทางของการบรรจบและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยหลักคำสอนต่างๆ อันบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า สังคมต่างๆ ในอนาคตของมนุษยชาติ จะเป็นประชาคมโลกหนึ่งเดียวที่ได้รับการวิวัฒนาการแล้ว ซึ่งในประชาคมดังกล่าว คุณค่าและความดีงามทั้งมวลของความเป็นมนุษย์จะถูกทำให้เป็นจริง บางทีก่อนหน้านี้เพียงไม่นานหลายคนอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงความเพ้อฝันเท่านั้น แต่วันนี้ผลการประเมินครั้งใหม่ของหน่วยงานต่างๆ ทางด้านสถิติ ได้กล่าวถึงความวิตกกังวลและคำเตือนต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญที่นับถือศาสนาคริสต์ที่กล่าวถึงในนาม “แนวโน้มที่เร็วเหมือนจรวด” มันกำลังเผยให้เห็นถึงข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

 

อิสลาม ศาสนาแห่งอนาคต

เดวิด พาวซัน (David Pawson) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "The Challenge of Islam to Christians” (ความท้าทายของอิสลามที่มีต่อศาสนาคริสต์) ของเขาว่า "อิสลามคือศาสนาแห่งอนาคต” หากแนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ในขณะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว อีกไม่นานอิสลามจะกลายเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะละทิ้งศาสนาคริสต์ไว้เบื้องหลัง ในความเป็นจริงแล้วตามสถิติส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบปี ส่วนใหญ่ของผู้อ่านหนังสือเล่มนี้จะยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาจะได้เห็นมันด้วยกับตาของตนเอง ศาสนาอิสลามมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลก ความรวดเร็วของการเติบโตนี้เป็นสี่เท่าของศาสนาคริสต์"

โจเอล ริชาร์ดสัน (Joel Richardson) ก็ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “The Islamic Antichrist” (การต่อต้านศาสนาคริสต์ของอิสลาม) เช่นกัน เกี่ยวกับการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดของประชากรมุสลิม ในหัวข้อเรื่อง “ขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาของอิสลาม” และเขาได้เตือนชาวคริสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้

เขาได้กล่าวไว้ในบทแรกของหนังสือของเขาว่า “ศาสนาอิสลามไม่เพียงแต่ในโลกเท่านั้น ทว่าแม้แต่ในอเมริกา แคนาดาและในยุโรป ก็มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อัตราการเติบโตประจำปีของมุสลิมในอเมริกานั้นประมาณ 4% ต่อปี แต่มีหลักฐานที่แข็งแรงที่ทำให้เราเชื่อได้ว่า การเจริญเติบโตในช่วงหลายปีจนถึงล่าสุดนี้มีอัตราเฉลี่ยถึง 8% ต่อปี ในแต่ละปีจะมีชาวอเมริกันหลายหมื่นคนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ก่อนปี 2001 รายงานต่างๆ กล่าวว่า ในแต่ละปีจะมีชาวอเมริกันเข้ารับอิสลามปีละ 25,000 คน ตัวเลขนี้อาจดูเหมือนว่าไม่มากนัก แต่สถิตินี้ ได้เพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าภายหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน”

เป็นความจริงที่ว่า ภายหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน จำนวนของชาวอเมริกันที่เปลี่ยนไปเป็นมุสลิมนั้นจะเพิ่มขึ้นเร็วเหมือนจรวด ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังจากการโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ รายงานต่างๆ เกี่ยวกับการไหลบ่าเข้าสู่มัสยิดของชาวอเมริกันก็ได้เริ่มต้นขึ้น

นาย “อิลาอ์ บายูมี” ประธานฝ่ายกิจการของชาวอาหรับในสภาความสัมพันธ์อิสลาม - สหรัฐ (CAIR) ได้กล่าวในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 ในหนังสือพิมพ์อัลฮะยาต (Al- Hayat) ตีพิมพ์ในกรุงลอนดอนว่า “ชาวอเมริกันที่มิใช่มุสลิมนั้น ขณะนี้พวกเขามีความสนใจอย่างมากที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม มีสัญญาณต่างๆ ที่บ่งชี้ในเรื่องนี้ นั่นคือ ห้องสมุดต่างๆ จะว่างเปล่าจากหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม คัมภีร์อัลกุรอานฉบับแปลภาษาอังกฤษกลายเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในอเมริกา นับจากเหตุการณ์ 11 กันยายน ชาวอเมริกันได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างมากที่จะเปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลาม...

ชาวอเมริกันที่ไม่ใช่มุสลิมได้ตอบรับคำเชิญในการไปเยี่ยมชมมัสยิดต่างๆ ประหนึ่งดั่งเสียงคำรามของกระแสคลื่นในมหาสมุทรที่กระทบชายฝั่งลูกแล้วลูกเล่าติดตามกันมา (หนังสือพิมพ์ อัลฮะยาต ตีพิมพ์ในกรุงลอนดอน วันที่ 12 พฤศจิกายน 2001 ซึ่งถูกอ้างอิงไว้ในศูนย์สื่อและการศึกษาวิจัยตะวันออกกลาง โดยยบรรดาผู้นำชาวมุสลิมอเมริกัน “คลื่นการเข้ารับอิสลามในอเมริกา หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน” 16 พฤศจิกายน 2001)

 

 

 

หลังจากการยอมรับเกี่ยวกับการรับใช้บริการต่างๆ ที่น่าประทับใจของอิสลาม อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ 11 กันยายนนั้น เขากล่าวเสริมว่า “ตรงข้ามกับสิ่งที่เราได้เคยคาดคิด หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน การเข้ารับอิสลามไม่ได้ลดน้อยลง และไม่เหมือนกับเมื่อห้าสิบปีที่ผ่านมาแต่อย่างใดทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้าม สิบเอ็ดวันที่ผ่านไปเหมือนกับสิบเอ็ดปีที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนศาสนามาเข้ารับอิสลาม” ในหนังสือพิมพ์ เดอะไทมส์ (The Times) ของลอนดอน ฉบับวันที่ 7 มกราคม 2002 ได้เขียนว่า สี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน “มีหลักฐานอ้างอิงต่างๆ ที่เชื่อถือได้ที่แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการเข้ารับศาสนาอิสลาม หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในประเทศอังกฤษเท่านั้น แต่ทว่าทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกาเลยทีเดียว ศูนย์อิสลามแห่งหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้กล่าวอ้างว่า การขยายตัวของการเข้ารับอิสลามได้เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า”

ความวิตกกังวลต่างๆ เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของอิสลามได้ลุกลามเข้าไปในกลุ่มสื่อสารมวลชนของอเมริกัน โดยพวกเขาได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลของตนว่า “ในไม่ช้าชาวอเมริกันจะตื่นขึ้นจากการหลับด้วยเสียงอะซาน (การประกาศบอกเวลานมาซ)” [หนังสือพิมพ์อเมริกัน “Human Events” รายงานจากหนังสือ “America Alone : The End of The World as We Know It” เขียนโดย Mark Steyn]

 

การเข้ารับอิสลามในหมู่ชาวคริสต์หัวรุนแรง

ประเด็นสำคัญที่จำเป็นจะต้องพิจารณา ก็คือแนวโน้มการเข้ารับอิสลามในหมู่ชาวคริสต์ที่เคร่งครัดและหัวรุนแรงที่มีมากกว่ากลุ่มอื่นๆกว่า 80% ของมุสลิมใหม่ ได้ขยายตัวขึ้นจากโบสถ์ต่างๆ ของคริสเตียน ถ้าสถิติถูกต้องก็หมายความว่าในแต่ละปีมีชาวอเมริกันจากครอบครัวต่างๆ ของชาวคริสต์หันมาเข้ารับอิสลามมากกว่า 60,000 คน จากการยืนยันถึงข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ของนาย “โจเอล ริชาร์ดสัน” (Joel Richardson) ที่เขียนว่า “เพื่อนคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นลูกชายของบาทหลวงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เขาเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวคริสเตียนที่เคร่งศาสนามาก แต่เขาได้เข้ารับอิสลามในขณะที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมได้อ่านเอกสารหลักฐานต่างๆ มากมายที่แสดงให้เห็นถึงการเข้ารับอิสลามของบรรดานักบวช บาทหลวง มิชชันนารี และนักศึกษาวิชาเทววิทยา (Theology) แน่นอนพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่สามัญชนทั่วไป (พวกเขาเป็นปัญญาชน) ท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ก็ยังมีสมาชิกจากกลุ่มสุดโต่ง "ชาวคริสต์ที่ฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณ" รวมอยู่ด้วย หากคุณเป็นคริสเตียนคนหนึ่งคุณจะต้องกล่าวว่าสิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ ประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ จากการสัมภาษณ์บรรดาเยาวชนสตรีของมหาวิทยาลัยต่างๆ ของอเมริกาที่พวกเธอเพิ่งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม... พวกเขามีวุฒิการศึกษาระดับสูงจากมหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University) และฮาร์วาร์ด (Harvard University) และพวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับอำนาจและความเจริญรุ่งเรืองของอิสลามและเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเขาจึงหันมาเข้ารับอิสลาม รายการนี้ออกอากาศหลายครั้งทั่วอเมริกา..." (ศูนย์สื่อการศึกษาและวิจัยตะวันออกกลาง โดยผู้นำมุสลิมชาวอเมริกัน “คลื่นการเข้ารับอิสลามในอเมริกา หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน” 16 พฤศจิกายน 2001)

บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ “นิวยอร์กไทม์ส” ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2001 ในส่วนหนึ่งของเรื่องราวของ “จิม แฮ็กกิงค์” (Jim hacking) ได้เขียนว่า : ในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา จิม แฮ็กกิงค์ ได้รับการฝึกฝนอบรมเพื่อที่จะให้เป็นนักบวชเยซูอิต (Jesuit) ขณะนี้เขาเป็นทนายความของกองทัพเรือในเซนต์หลุยส์ ซึ่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพียงแค่เขาได้ศึกษาค้นคว้าสิ่งต่างๆ ที่เหมือนกันในระหว่างศาสนาทั้งหลาย ทำให้เขาเปลี่ยนศาสนา... ในวันที่ 6 มิถุนายน 1998 เขาได้กล่าวปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม เขากล่าวว่า “สิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอดนั่นก็คือ พระเจ้าทรงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ไม่มีความจำเป็นต้องมีพระบุตรเพื่อปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของพระองค์”

 

ทางเลือกใหม่ในการยอมรับเอกานุภาพของพระเจ้า (Monotheism)

โจเอล ริชาร์ดสัน (Joel Richardson) กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจว่า “ขณะนี้ศาสนาอิสลามได้แผ่ขยายในโลกตะวันตก หลายคนได้เข้าใจแล้วว่า ศาสนาคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวของศาสนาแห่งพระเจ้าที่มีอยู่ เป็นที่น่าเสียใจที่คนจำนวนมากได้เลือกศาสนาอิสลามแทนศาสนาคริสต์”

เดวิด พาวซัน (David Pawson) นักเขียนและเป็นครูสอนพระกิตติคุณ (คัมภีร์ไบเบิล) ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นของอังกฤษ ได้เล่าถึงประสบการณ์จากเพื่อนของเขาว่า : เพื่อนคนหนึ่งของผม เป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขามีความสุขมากที่เด็กชายคนหนึ่งที่เขาเคยให้การช่วยเหลือได้พบเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เขากล่าวกับเด็กชายผู้นั้นว่า “จงเชื่อมั่นเถิดว่า มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวที่จะสามารถเชื่อมั่นในพระองค์ได้” แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงและรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ เด็กชายผู้นั้นได้กล่าวว่า “เขาเข้ารับอิสลามแล้ว” ในขณะที่ศาสนาอิสลามกำลังเติบโตอยู่ในตะวันตกนั้น เรื่องราวลักษณะเช่นนี้จะถูกกล่าวถึงครั้งแล้วครั้งเล่า

ชื่อ "มุฮัมมัด" เป็นชื่ออันดับแรกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงลอนดอน และเป็นอันดับสองที่มีการใช้มากที่สุดในประเทศอังกฤษ

 

กระแสคลื่นของการเข้ารับศาสนาอิสลามในตะวันตก ดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่อรสนิยมของผู้คนทั้งหลายเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่สำนักงานสถิติประชากรแห่งชาติของอังกฤษได้ประกาศว่า ในปี ค.ศ. 2012 ชื่อ "มุฮัมมัด" ถูกเลือกจากครอบครัวต่างๆ ของชาวอังกฤษเพื่อตั้งเป็นชื่อบุตรของตนจำนวนถึง 7,139 คน  

เช่นเดียวกันในปี ค.ศ. 2009 ในพื้นที่ “แซน-แซ็ง-เดอนี” (Seine-Saint-Denis) เป็นจังหวัดหนึ่งในแคว้น “อีล-เดอ-ฟร็องส์” (Île-de-France) ในภาคเหนือของประเทศฝรั่งเศส และในปี ค.ศ. 2010 ในเมือง “มาร์แซย์” (Marseille) ในภาคใต้ของประเทศนี้ ชื่อ "มุฮัมมัด" เป็นชื่อแรกๆ ที่ได้รับความนิยมจากครอบครัวต่างๆ มากที่สุด และชื่อนี้ตลอดช่วงปี 2012 ยังคงได้รับการบันทึกอยู่ในจำนวนร้อยชื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงปารีส และชื่อ "มุฮัมมัด อามีน" และเป็นชื่อประกอบสองคำอันดับแรกที่ถูกเลือกใช้โดยชาวฝรั่งเศสในปี 2010

นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2007 ในกรุง “บรัสเซลส์” (เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม ) และในปี ค.ศ. 2008 ในเมือง “มิลาโน่” (Milano) ของอิตาลี และในปี ค.ศ. 2012 ในกรุง “ออสโล” เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ ชื่อ "มุฮัมมัด" กลายเป็นชื่อแรกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด [ข่าวและบทวิเคราะห์ต่างประเทศ อ้างที่มาจากเว็บไซต์ : al-kanz

คำเตือนสำหรับประเทศอังกฤษ

ในหนังสือ “The Challenge of Islam to Christians” (ความท้าทายของอิสลามที่มีต่อศาสนาคริสต์) นายเดวิด พาวซัน (David Pawson) ได้อธิบายว่า “จะมีอะไรที่จะดียิ่งไปกว่าคำเตือนหนึ่ง ซึ่งมิใช่เฉพาะสำหรับอังกฤษเท่านั้น ทว่าสำหรับคริสตจักรของโลกตะวันตกทั้งมวล

นายเดวิด พาวซัน (David Pawson) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพของคริสตจักรในประเทศอังกฤษ ได้เล่าถึงประสบการณ์หนึ่งซึ่งเขาได้รับมาในช่วงล่าสุด ในระหว่างการกล่าวปราศรัยของ “แพทริค ซูคิโด” นักเขียนที่มีชื่อเสียงว่า “หากผู้นำคนหนึ่งมีความสามารถที่น้อยนิดในการแยกแยะ ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา เราก็อาจจะให้อภัยและไม่ใส่ใจในคำพูดเหล่านั้น แต่เราจำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างมากต่อคำพูดของเดวิด ซึ่งในระหว่างการปราศรัยของเขา ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่เกี่ยวข้องกับประเด็น ผมได้จมดิ่งลงสู่ความคิดนี้ที่ว่า ศาสนาอิสลามกำลังจะปกคลุมไปทั่วประเทศอังกฤษ ผมจำได้ว่าผมนั่งอย่างตกใจและตัวสั่นเทา เราไม่ใช่เป็นแค่ผู้รับฟังเนื้อหาต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรมหนึ่งที่คนอื่นๆ กำลังยึดถือปฏิบัติอยู่เพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงเรากำลังรับฟังเกี่ยวกับอนาคตของตัวเราเอง”

 

คำพูดต่างๆ ของจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (george bernard shaw) ก็สนับสนุนประเด็นนี้ ที่เขากล่าวว่า “ตลอดเวลาผมเคารพและให้เกียรติต่อศาสนาของ (ท่านศาสดา) มุฮัมมัด (ซ็อลฯ) เสมอมา เนื่องจากคุณลักษณะพิเศษของความเป็นศาสนาที่ยังคงมีชีวิตอยู่ที่น่ามหัศจรรย์ของมัน ในทัศนะของผม อิสลามเป็นเพียงศาสนาเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถและสอดคล้องกับสภาพการณ์และรูปแบบต่างๆ ของการดำเนินชีวิตที่ได้เปลี่ยนแปลงไป และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับยุคสมัยต่างๆ ได้ ผมคาดการณ์ว่าจะเป็นเช่นนี้ และในช่วงเวลานี้ที่ร่องรอยต่างๆ ของมันก็ได้ปรากฏขึ้นแล้วที่ว่า ความศรัทธา (ศาสนา) ของ (ท่านศาสดา) มุฮัมมัด (ซ็อลฯ) จะได้รับการยอมรับจากยุโรปในวันพรุ่งนี้” [ดูจากหนังสือ “ศาสนาในประสบการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ของมนุษยชาติ” เขียนโดย John R Everett แปลเป็นภาษาเปอร์เซียโดย : มะฮ์ดี กออินี, หน้าที่ 190]

หนึ่งในสัญญาณสำคัญของยุคสุดท้ายที่คัมภีร์ไบเบิลได้ชี้ถึง ก็คือการที่ชาวคริสต์จะหันออกจากศาสนาของตนเอง ซึ่งถูกกล่าวถึงในนาม “การละทิ้งออกจากศาสนาอย่างกว้างขวาง

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ในทัศนะของนายโจเอล ริชาร์ดสัน (Joel Richardson) ก็คือความจริงที่ว่า ช่วงเวลาสิบห้าปีนับจากนี้ไป หรืออาจจะเร็วยิ่งกว่านั้นที่เหตุการณ์จะเริ่มต้นขึ้น เขาแสดงความคาดหวังและแนะนำด้วยความจริงใจว่า “ในขณะนี้มีสัญญาณต่างๆ บ่งชี้ในทางที่แตกต่างไปจากประเด็นนี้เล็กน้อย ตอนนี้กระแสการเข้ารับอิสลามของประชาชนของอเมริกายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะเตรียมพร้อมและตื่นตัวสำหรับการเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร” ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า “อิสลามเป็นศาสนาแห่งอนาคต” ดังเช่นที่ “บราเดอร์ แอนดรู” (Brother Andrew) ผู้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ผู้ลักลอบนำพระคัมภีร์ไบเบิลที่อยู่ใจกลางม่านเหล็กออกมา ซึ่งเขากล่าวว่า “ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นเป็นของศตวรรษที่ยี่สิบ แต่อิสลามจะเป็นของศตวรรษต่อไป” (บราเดอร์แอนดรู, พลังแสง, หน้าที่ 140)

แอนโธนี กิดเดนส์ (anthony giddens) ศาสตราจารย์ทางสังคมวิทยาชาวอังกฤษ เขียนว่า “ในอดีต สามนักคิดยักษ์ใหญ่ทางสังคมวิทยา หมายถึง มาร์กซ์ (Karl Marx) เดอร์ไคหม์ (David Émile Durkheim) และแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ด้วยกับทัศนะที่แตกต่างกันเล็กน้อย พวกเขามองว่า กระบวนการโดยรวมของโลกจะดำเนินไปสู่ทิศทางของการเปลี่ยนเป็นฆราวาส (secularization - การมุ่งเน้นในทางโลกและการแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร) และศาสนาจะถูกละทิ้งไว้ชายขอบ แต่นับจากการเริ่มต้นของทศวรรษที่แปดสิบ จากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน เราได้เห็นการเกิดขึ้นของสิ่งที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ กระบวนการโดยรวมของโลกได้เริ่มต้นแนวโน้มของการย้อนกลับ และกำลังย่างก้าวไปสู่ทิศทางของศาสนา”

 

ในบทความนี้อธิบายถึงพยานหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับสังคมของอเมริกันและยุโรป ที่พยายามจะทำให้ผู้อ่านผู้มีเกียรติได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงของคำว่า “การเจริญเติบโตที่รวดเร็วเหมือนจรวดของอิสลาม” ในสังคมต่างๆ ของคริสเตียน ณ จุดนี้การเลือกอยู่ที่ตัวเรา เราจะสามารถข้ามผ่านเส้นทางนี้ไปอย่างง่ายดาย หรือเราจะทำให้กระบวนการดังกล่าวนี้ดำเนินไปในทิศทางของมันอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยกับการเฝ้าสังเกตสถานการณ์ต่างๆ ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างละเอียดอ่อนและใกล้ชิด มีการวางแผนที่ถูกต้องเหมาะสม พร้อมกับการดำเนินการที่จำเป็น

กระแสคลื่นของการแสวงหาความจริงได้เกิดขึ้นแล้ว นับเป็นโอกาสที่ดีงามยิ่งสำหรับการแนะนำให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้จักกับ “อิสลามที่แท้จริง” ให้มากยิ่งขึ้นและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และอนาคตที่สดใสที่ถูกสัญญาไว้นั่นก็คือ “อาณาจักรการปกครองแห่งความรักและความยุติธรรม” (ของท่านอิมามมะฮ์ดี) สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น คือข่าวดีและเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการบรรลุความจริงหนึ่งจากเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของอิมามมะอ์ดี (อ.ญ.) นั่นหมายถึง การที่โลกกำลังหันหน้าไปสู่ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า และการเตรียมพร้อมสำหรับการต้อนรับผู้ที่ถูกส่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่จะมาทำให้หนทางราบเรียบสำหรับการศรัทธา (อีหม่าน) โดยที่ในเส้นทางนั้น ผู้คนทั้งมวลจะก้าวเดินไปในระดับเดียวกัน นั่นคือ ระดับแห่งความเป็นมนุษย์!

คงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วที่มนุษย์จะได้หันหน้าไปพักพิงยังแสงอาทิตย์ เหมือนกับผู้ที่ได้รับความหนาวเหน็บจากความหนาวเย็นของฤดูหนาวอีกครั้งหนึ่ง โดยที่เขาจะปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นออกจากความเชื่อต่างๆ แบบผู้ตั้งภาคีต่อพระเจ้า และกลับสู่อ้อมอกเพียงหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเอกะ

 

 

ขอแสดงความยินดีกับเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย! การกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งของเจ้า สู่บ้านเกิดเมืองนอนที่เจ้าได้จำพรากจากมันไป และในการค้นหามัน เจ้าเคยเป็นผู้หลงทางและสับสนอยู่ในตรอกซอกซอยต่างๆ ที่เป็นทางตันของนครแห่งความมืดมน

 

 

 

โดย “ยอซ นบี” ผลงานของกลุ่มค้นคว้าวิจัย “สถาบันมะฮ์ดะวียัต มหาวิทยาลัยฟิรดูซี”

 

 

 

เชิงอรรถ :

[1] หนังสือ “ดิดเด่ มะซีฮิ อิสลามี” แปลโดย กลุ่มแปลของสถาบันมะฮ์ดะวียัต มหาวิทยาลัยฟิรดูซี แปลจากหนังสือ “The Islamic Antichrist” (การต่อต้านศาสนาคริสต์ของอิสลาม) ของโจเอล ริชาร์ดสัน (Joel Richardson)

[2] หนังสือ “โดบอเระฮ์ ดัร อูจญ์” สิ่งจำเป็นต่างๆ ของอารยธรรมอิสลาม จากผลงานของ “ชะฮีดมุรตะฎอ มุเฏาะฮ์ฮะรี” เรียบเรียงโดย ดร.มุฮัมมัด ฏ็อยยิบ ซะฮ์รออี

[3] บทความ “นิยอซ เบฮ์ ซะมีเนะฮ์ซอซีเย่ ซุฮูร” (ความจำเป็นในการเตรียมพื้นฐานสำหรับการปรากฏตัวของอิมามมะฮ์ดี) คอดีญะฮ์ ฮาชิมี

[4] คำบรรยายของชะฮีด ซัยยิดมุรตะฎอ ออวีนี

[5] เว็บไซต์ al-kanz อ้างจากข่าวและบทวิเคราะห์ต่างประเทศ ของเว็บไซต์ Ikna.ir

[6] หนังสือพิมพ์อเมริกัน “Human Events” รายงานจากหนังสือ “America Alone : The End of The World as We Know It” เขียนโดย “Mark Steyn”

ที่มา : http://sahebazamannet.mihanblog.com/post/1528

คัดลอกจากเว็บซอฮิบซะมาน

 

แสดงความเห็น